Feline Hypertrophic Cardiomyopathy (HCM)
HCM เป็นโรคหัวใจที่พบบ่อยที่สุดในแมว ซึ่งมีลักษณะเฉพาะคือกล้ามเนื้อหัวใจหนาตัวขึ้นและอ่อนแรงลงทีละน้อย
ยังไม่ทราบสาเหตุของการเกิดโรคอย่างแน่ชัด มักเกิดจาก myosin-binding protein C mutation ในแมวสายพันธุ์ Maine coon และ Ragdoll
การจัดการแมวที่เป็น HCM ยังจำกัดที่ต้องใช้ยาและอาหารร่วมกัน
Nutritional Assessment
สัตวแพทย์ควรเริ่มจัดการทางโภชนาการตั้งแต่แรกๆเมื่อพบว่าแมวมีอาการของโรคหัวใจ
โดยการคงคะแนนสภาพร่างกาย (BCS) ของแมวให้เหมาะสมเพื่อประเมินการได้รับอาหารที่ไม่เพียงพอหรือมากเกินไปและเลี่ยงความไม่สมดุลทางโภชนาการ
Nutritional History
สัตวแพทย์จำเป็นต้องสอบถามประวัติการได้รับอาหาร ขนมและอาหารเสริม ตลอดจนอาหารปัจจุบันของแมว
ข้อมูลเหล่านี้อาจสื่อถึงความเป็นไปได้ที่จะได้รับอาหารส่วนเกิน เช่น
- แมวกินอาหารประกอบการรักษาโรคหัวใจ
- ได้รับโซเดียมเกินจากขนมหรืออาหารอื่น
- ใช้อาหารโซเดียมสูงเพื่อซ่อนเม็ดยาในการป้อน
Body Composition
สัตวแพทย์ควรทำการประเมิน BCS อย่างน้อยทุกสัปดาห์
- สอนเจ้าของให้ประเมินและรายงานผลต่อสัตวแพทย์
- ประเมินมวลกล้ามเนื้อ (MCS) ซึ่งมีความสำคัญในแมวที่เป็นโรคหัวใจ
เนื่องจากอาจมีการพัฒนาของ cardiac cachexia ได้
ข้อควรพิจารณาด้านอาหารในการจัดการ HCM
1. Sodium และ Chloride
แมวที่มีสุขภาพดีจะสามารถขับโซเดียมส่วนเกินออกทางปัสสาวะได้ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง
แต่ในแมวที่เป็นโรคหัวใจระยะแรกจะขับโซเดียมได้ลดลง
- ระดับโซเดียมในอาหารไม่เกิน 0.3% DM
- ระดับคลอไรด์ที่แนะนำคือ 1.5 เท่าของโซเดียม
2. Taurine
ทอรีนเป็นกรดอะมิโนจำเป็นสำหรับแมว
- ขาดทอรีนอาจเกี่ยวข้องกับภาวะกล้ามเนื้อหัวใจล้มเหลว
- ปริมาณทอรีนขั้นต่ำในอาหารที่แนะนำคือ 0.04% DM
- ในอาหารแมวที่เป็น HCM ควรมีทอรีนอย่างน้อย 0.3% DM
- Supplement taurine สำหรับแมวที่เป็น HCM = 250–500 mg/day
3. Phosphorus
แมว HCM อาจพบโรคไตเรื้อรังร่วมด้วย
- ปริมาณฟอสฟอรัสที่แนะนำคือ 0.3–0.7% DM
4. Potassium และ Magnesium
แมว HCM อาจมี hypokalemia, hyperkalemia หรือ hypomagnesemia
ซึ่งทำให้เกิด
- ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ
- ลดการหดตัวของกล้ามเนื้อหัวใจ
- กล้ามเนื้ออ่อนแรง
- ผลข้างเคียงจาก cardiac glycosides และยารักษาโรคหัวใจอื่นๆ
ปริมาณขั้นต่ำที่แนะนำ:
- โพแทสเซียม ≥ 0.52% DM
- แมกนีเซียม ≥ 0.04% DM
5. Protein
ให้พลังงานเพียงพอและโปรตีนคุณภาพสูงที่ย่อยได้ง่าย
เพื่อป้องกัน cardiac cachexia ในแมว HCM และแมวที่มีโรคไตร่วมด้วย
6. Omega-3 Fatty Acids
- พบว่า Omega-3 ใน fish oil ช่วยลด cachexia, กระตุ้นความอยากอาหาร, antiarrhythmic, กระตุ้นภูมิคุ้มกัน และลดการเกาะตัวของเกล็ดเลือด
- ปริมาณที่แนะนำ: EPA 40 mg/kg และ DHA 25 mg/kg
- อาหารควรมี EPA + DHA รวม 80–150 mg/100 kcal
- พิจารณาผลข้างเคียงในสัตว์ที่มี coagulopathies
7. Water
น้ำสามารถเป็นแหล่งโซเดียม คลอไรด์ และแร่ธาตุอื่น
- ควรใช้น้ำที่มีโซเดียมต่ำกว่า 150 ppm
- ให้น้ำสะอาดและสดใหม่เสมอ
สรุป
HCM เป็นโรคหัวใจที่พบบ่อยที่สุดในแมว และไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้
การรักษามุ่งเน้นการใช้ยาและการจัดการโภชนาการร่วมกัน
สัตวแพทย์ควรสื่อสารกับเจ้าของเรื่องบทบาทของอาหาร สารอาหารจำเพาะ ขนม อาหารเสริม และการใช้ยา
เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุดของแมวและเจ้าของ