โภชนาการลูกสุนัขและลูกแมวที่เจ้าของและสัตวแพทย์ต้องรู้
โดยเฉลี่ยลูกสุนัขหรือลูกแมวจะเริ่มย้ายบ้านใหม่ในช่วงอายุระหว่าง 7–9 สัปดาห์ (หลังหย่านม) ในช่วงอายุต่อจากนี้ สัตวแพทย์จำเป็นต้องปรับสารอาหารพื้นฐานให้เหมาะสม เพื่อสนับสนุนการเจริญเติบโตและพัฒนาการของลูกสัตว์เหล่านี้ให้ตรงตามความต้องการทางโภชนาการของช่วงวัย
ลูกสุนัขและลูกแมวจะค่อยๆ หย่านมจากแม่สัตว์แล้วเปลี่ยนไปเป็นอาหารสำหรับลูกสัตว์
- ลูกสุนัข จะเริ่มหย่านมในช่วงอายุ 5–7 สัปดาห์
- ลูกแมว ในช่วง 6–9 สัปดาห์
ซึ่งช่วงเวลาเหล่านี้จะเกิดขึ้นหลังจากเริ่มมีฟันน้ำนม
ช่วงอายุและการเจริญเติบโต
- 3–6 เดือน → เป็นช่วงที่มีการเจริญเติบโตรวดเร็วที่สุดทั้งในสุนัขและแมว
- 9–10 เดือน → แมวและสุนัขขนาดเล็กถึงขนาดกลางจะเริ่มมีน้ำหนักตัวใกล้เคียงกับตัวเต็มวัย
- 9–12 เดือน → โครงสร้างกระดูกเจริญเติบโตเต็มที่ (Skeletal maturity)
- สุนัขพันธุ์ใหญ่และพันธุ์ยักษ์ → เจริญเติบโตต่อไปจนถึงอายุ 18 เดือน และกระดูกเจริญเต็มที่ระหว่าง 18–24 เดือน
การเลือกอาหารสำหรับลูกสัตว์ (Diet Selection)
ผลิตภัณฑ์อาหารที่มีจำหน่ายในท้องตลาดทั่วไปมักอยู่ภายใต้การควบคุมของกรมปศุสัตว์ โดยใช้หลักเกณฑ์ด้านอาหารตามข้อกำหนดของ AAFCO
- กำหนดคุณค่าทางโภชนาการที่เหมาะสม
- กฎสำหรับการติดฉลากผลิตภัณฑ์
- คำจำกัดความของส่วนผสม
สิ่งสำคัญของการเลือกอาหารสำหรับสัตว์เลี้ยงคือ อาหารต้องผ่านการขึ้นทะเบียนกับกรมปศุสัตว์ และปฏิบัติตามคำแนะนำของ AAFCO โดยระบุสถานะของสัตว์ที่เหมาะสมกับผลิตภัณฑ์ พร้อมมีการกำหนดสูตร ตรวจวิเคราะห์ และทดลองว่าปลอดภัยและเหมาะสมต่อความต้องการของสัตว์ในแต่ละช่วงวัย
นอกจากนี้ สัตวแพทย์ควรประเมินอาหารและปริมาณสารอาหารสำคัญ ได้แก่ พลังงาน โปรตีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส DHA และสารต้านอนุมูลอิสระ
พลังงาน (Energy)
ในช่วง 4 เดือนแรก ความต้องการพลังงานสูงกว่าช่วงโตเต็มวัยถึง 2 เท่า หลังจากนั้นจะค่อยๆ ลดลง และลดลงอีกครั้งหลังทำหมัน (ประมาณ 25%) เพื่อป้องกันโรคอ้วน
ควรรักษา Body Condition Score ไว้ที่ 4–5/9 เพื่อป้องกัน Aplastic obesity ซึ่งเป็นความอ้วนที่เพิ่มจำนวนเซลล์ไขมัน ทำให้ควบคุมน้ำหนักยากในอนาคต
โปรตีน (Protein)
โปรตีนเป็นแหล่งกรดอะมิโนจำเป็น ใช้สร้างและซ่อมแซมเนื้อเยื่อ รวมถึงระบบภูมิคุ้มกัน
- ลูกแมว ต้องการโปรตีน 30–36%
- ลูกสุนัข ต้องการโปรตีน 25–29%
ควรเลือกโปรตีนคุณภาพสูงที่ย่อยได้มากกว่า 85%
แคลเซียมและฟอสฟอรัส
ต้องให้อัตราส่วน 1.1:1 – 1.5:1 เพื่อสมดุลของฮอร์โมนและการพัฒนาโครงกระดูก การขาดหรือเกินแร่ธาตุเหล่านี้อาจทำให้เกิดปัญหาโครงสร้างกระดูกได้
DHA (Omega-3)
จำเป็นต่อการพัฒนาสมอง จอประสาทตา และการเรียนรู้
- ลูกสุนัข ≥0.02%
- ลูกแมว ≥0.004% (ของวัตถุแห้ง)
สารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidants)
วิตามิน A, C, β-carotene, lutein, zinc และ selenium ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน และป้องกันความเสียหายของเซลล์
ตารางสรุปอาหารและปริมาณสารอาหารสำคัญในลูกสุนัขและแมว
พลังงาน (Energy) | 3,500–4,500 kcal/กก. | 4,000–5,000 kcal/กก. | ให้พลังงานสำหรับการเติบโตและระบบเผาผลาญ | อาหารสูตรลูกสุนัข/ลูกแมว, อาหารเม็ดพลังงานสูง, อาหารเปียกคุณภาพดี |
โปรตีน (Protein) | 25–29% | 30–36% | สร้างกล้ามเนื้อ ขน เล็บ และระบบภูมิคุ้มกัน | เนื้อสัตว์คุณภาพสูง (ไก่, ปลา, เนื้อวัว), ไข่, โปรตีนจากปลา |
DHA (Omega-3) | ≥0.02% ของวัตถุแห้ง | ≥0.004% ของวัตถุแห้ง | พัฒนาสมอง การมองเห็น และการเรียนรู้ | น้ำมันปลาทะเล, ปลาแซลมอน, ปลาซาร์ดีน, ปลาทูน่า |
แคลเซียม:ฟอสฟอรัส | 1.1:1 – 1.5:1 | 1.1:1 – 1.5:1 | สร้างและคงสภาพโครงกระดูกที่แข็งแรง | อาหารสำเร็จรูปที่ได้มาตรฐาน AAFCO, ไม่ควรเสริมจากกระดูกป่นหรือผลิตภัณฑ์นมโดยตรง |
การเปลี่ยนอาหารและความถี่ในการให้อาหาร
- ไม่ควรเปลี่ยนอาหารทันที ควรปรับอย่างค่อยเป็นค่อยไปใน 1–3 วัน
- ลูกสุนัข → ให้อาหาร 2–4 มื้อ/วัน
- ลูกแมว → ให้อาหารแบบ free-choice จนถึง 5 เดือน จากนั้นค่อยลดความถี่
บทสรุป
การจัดการอาหารที่เหมาะสมตั้งแต่วัยเด็กส่งผลต่อสุขภาพ อายุขัย และการพัฒนาโครงสร้างในระยะยาว สัตวแพทย์ควรเน้นการให้ข้อมูลที่ถูกต้องเพื่อให้เจ้าของสามารถดูแลสัตว์เลี้ยงได้ดีที่สุด
คำแนะนำจากทีมสัตวแพทย์ Vetprima
หากต้องการให้อาหารที่ครบถ้วนและเหมาะสมต่อการเติบโตของลูกสุนัขและลูกแมว แนะนำ Vetprima Nutrimum สูตรแม่และลูก ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันและพัฒนาการของสัตว์เลี้ยงวัยกำลังโต