Canine idiopathic epilepsy (IE)
Canine idiopathic epilepsy (IE) หรือโรคลมชักไม่ทราบสาเหตุ เป็นลมชักชนิดที่พบได้บ่อยที่สุด เกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรมโดยเฉพาะในสุนัขบางสายพันธุ์ ความชุกของ IE ในสุนัขโดยรวมคาดว่าอยู่ระหว่าง 0.6% ถึง 0.75% ของประชากรสุนัขทั้งโลก (ในบางสายพันธุ์อาจพบได้สูงกว่านี้)
สุนัข IE มีลักษณะเด่น คือ เกิดอาการชักซ้ำๆ โดยไม่ได้ถูกกระตุ้นและมักต้องได้รับการรักษาด้วยยากันชัก (Antiseizure Drugs; ASDs) ตลอดชีวิต แม้จะมียากันชักหลายชนิด เช่น phenobarbital, potassium bromide, imepitoin, levetiracetam แต่ยังมีสุนัขมากกว่า 1/3 ที่ไม่สามารถควบคุมอาการชักได้ดี
เนื่องจากยากันชักมีข้อจำกัดทั้งประสิทธิภาพที่ไม่ครบถ้วนและผลข้างเคียง ดังนั้นการใช้โภชนบำบัด
(nutritional management) ร่วมกับการรักษาทางยาจึงเข้ามามีบทบาทสำคัญในการรักษาสุนัข IE
Ketogenic diet ในมนุษย์
ในคนที่เป็นโรคลมชักดื้อยา (drug-resistant epilepsy) พบว่าการใช้อาหาร Ketogenic diet (อาหารไขมันสูงและคาร์โบไฮเดรตต่ำ) สามารถช่วยควบคุมอาการชักได้ แต่ในสุนัขการใช้อาหารลักษณะนี้มีข้อจำกัดเรื่องการยอมรับอาหารและสมดุลทางโภชนาการ
การศึกษาของ Molina et al., 2020
พบว่าอาหารที่มี 𝗺𝗲𝗱𝗶𝘂𝗺 𝗰𝗵𝗮𝗶𝗻 𝘁𝗿𝗶𝗴𝗹𝘆𝗰𝗲𝗿𝗶𝗱𝗲 𝗼𝗶𝗹 (𝗠𝗖𝗧) เป็นสารอาหารเสริมร่วมกับการให้ Anti‑seizure Drugs (ASD) อาจช่วยลดอาการชักในสุนัขที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น idiopathic epilepsy ได้
ในปัจจุบันยังไม่ทราบกลไกการออกฤทธิ์ของ MCT ที่แน่ชัดว่า MCT และ/หรือสารเมตาบอไลต์ มีผลต่อการลดการชักได้อย่างไร แต่คาดว่าน่าจะเป็นผลจากหลายกลไกร่วมกัน (multifactorial)
งานวิจัยก่อนหน้าเสนอว่า β-hydroxybutyrate (BHB) ซึ่งเป็น ketone body อาจมีบทบาทสำคัญ และอีกสมมติฐานเชื่อว่า MCT อาจส่งผลต่อระบบประสาท, พลังงานของเซลล์สมอง, หรือ neurotransmitter ที่เกี่ยวข้องกับการเกิดชัก
การศึกษาของ Law et al., 2015
เป็นหลักฐานชิ้นแรกๆ ที่ยืนยันว่า MCT มีศักยภาพเป็น adjunctive therapy สำหรับสุนัข IE
งานวิจัยนี้พบว่าอาหารที่มี MCT สามารถลดความถี่ของการชักในสุนัข IE ได้ โดยเฉพาะในบางรายที่ตอบสนองดีมากถึงขั้น seizure-free กลไกที่เกี่ยวข้องน่าจะเกี่ยวกับการเพิ่มระดับคีโตนในเลือดและอาจมีผลต่อสมดุลสารสื่อประสาท
การศึกษาล่าสุดของ Hemida et al., 2023
พบว่าอาหารที่เสริมด้วย MCT มีคุณสมบัติในการต้านอาการชัก (antiepileptic effects) และยังส่งผลกระทบต่อเมแทบอลิซึมของสมองและผลต่อ microbiome ในสุนัขโรคลมชัก
Literature review ของ Verdoodt et al., 2023
พบว่าโภชนาการมีบทบาทในการจัดการโรคลมชักในสุนัข โดยเฉพาะการเสริม Fish oil และการเลือกอาหารที่ไม่ผ่านการแปรรูปมากเกินไป
- น้ำมันปลา (fish oil) มีความสัมพันธ์กับการลดความถี่ของอาการชัก และบทบาทสำคัญน่าจะมาจากกรดไขมันโอเมกา-3 (DHA, EPA) ที่ช่วยต้านการอักเสบและสนับสนุนการทำงานของสมอง
- น้ำมันพืชหรือน้ำมันจากสัตว์อื่น ไม่พบว่ามีผลเด่นชัดต่อความเสี่ยงหรือการควบคุมอาการชักในสุนัข IE
- การให้อาหาร home-made ในช่วงวัยลูกสุนัข พบว่ามีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงการเกิด IE ที่ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับการเลี้ยงลูกสุนัขด้วยอาหารแห้งแปรรูป
- ปัจจัยทางพันธุกรรมยังคงมีบทบาทสำคัญ แต่การจัดการโภชนาการสามารถช่วยเสริมการรักษาได้
Take home message
- 𝗠𝗖𝗧 & 𝗞𝗲𝘁𝗼𝗴𝗲𝗻𝗶𝗰 𝗗𝗶𝗲𝘁 มีหลักฐานยืนยันว่าช่วยลดความถี่และความรุนแรงของอาการชักในสุนัข IE (Molina 2020, Law 2015, Pilla 2020, Berk 2020)
- 𝗚𝘂𝘁-𝗕𝗿𝗮𝗶𝗻 𝗔𝘅𝗶𝘀 : การเปลี่ยนแปลงของ microbiome (alpha diversity เพิ่ม) อาจเกี่ยวข้องกับผลของยาระงับชัก (Pilla 2020, review Verdoodt 2023)
- 𝗢𝗺𝗲𝗴𝗮-𝟯 / 𝗙𝗶𝘀𝗵 𝗼𝗶𝗹 ช่วยลดอาการชักและมีแนวโน้มป้องกัน (Masino 2019, Hemida 2023)
อ้างอิงข้อมูล
- Hemida, Manal, et al. “Assessing the association between supplemented puppyhood dietary fat sources and owner-reported epilepsy in adulthood, among Finnish companion dogs.” Frontiers in veterinary science 10 (2023): 1227437.
- Verdoodt, Fien, et al. “The role of nutrition in canine idiopathic epilepsy management: Fact or fiction?.” The veterinary journal 290 (2022): 105917.
- Molina, Jenifer, et al. “Efficacy of medium chain triglyceride oil dietary supplementation in reducing seizure frequency in dogs with idiopathic epilepsy without cluster seizures: a non‐blinded, prospective clinical trial.” Veterinary Record 187.9 (2020): 356-356.
- Pilla, Rachel, et al. “The effects of a ketogenic medium-chain triglyceride diet on the feces in dogs with idiopathic epilepsy.” Frontiers in veterinary science 7 (2020): 541547.
- Law, Tsz Hong, et al. “A randomised trial of a medium-chain TAG diet as treatment for dogs with idiopathic epilepsy.” British Journal of Nutrition 114.9 (2015): 1438-1447.